จังหวัดสมุทรปราการ ถือเป็นอีกหนึ่งจังหวัดท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมเสมอเพราะด้วยที่ตั้งใกล้กรุงเทพฯ แถมยังมีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจที่เหมาะสำหรับทุกคนในครอบครัว อาทิ สถานตากอากาศบางปู, พระสมุทรเจดีย์, เมืองโบราณ, พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ, ตลาดบางน้ำผึ้ง และวัดวาอารามชื่อดังอีกหลายแหล่ง สำหรับเดินทางไปนมัสการเพื่อความเป็นสิริมงคล
TripTravelGang: ทริปทราเวลแก็งค์ เลยไม่พลาดที่จะแวะไปคัดเอาสถานที่ท่องเที่ยวเด็ด ๆ มาเป็นตัวเลือกให้นักเดินทางทุกคนวางแผนไปเที่ยวกัน รับรองว่าทริปเที่ยวในครั้งนี้จะสร้างความประทับใจให้กับทุกคนที่คุณรักอย่างแน่นอน
#—————————#
1.อุทยานประวัติศาสตร์ทหารเรือ ป้อมพระจุลจอมเกล้า
ตั้งอยู่ภายในพื้นที่ริมปากแม่น้ำเจ้าพระยา ต.แหลมฟ้าผ่า อ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เพื่อป้องกันการรุกรานจากชาวต่างชาติ
ในอดีตป้อมแห่งนี้ถูกใช้เป็นที่ทำการยิงต่อสู้กับอริราชศัตรูมาแล้วครั้งหนึ่งในช่วงที่เกิดวิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 (พ.ศ. 2436) ในช่วงเวลาที่ประเทศไทยกำลังตกอยู่ในภาวะหน้าสิ่วหน้าขวานจากการรุกรานของชาติมหาอำนาจอย่างอังกฤษและฝรั่งเศส
ภายในมีพื้นที่สำหรับถวายสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว อย่างสง่างาม ทรงฉลองพระองค์ในชุดจอมทัพเรือ พระหัตถ์ถือกระบี่ ส่วนฐานของพระบรมราชานุสาวรีย์ฯ ยังเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ที่บอกเล่าประวัติความเป็นมาของป้อมพระจุลจอมเกล้า และเหตุการณ์ในสมัย ร.ศ. 112 แต่นักท่องเที่ยวที่สนใจอีกด้วย
ในส่วนด้านซ้ายของพระบรมราชานุสาวรีย์ฯ เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงเรือรบปลดระวางที่มีอายุการใช้งานที่สุดในกองทัพเรือ นามว่า เรือหลวงแม่กลอง ประดับด้วยครุฑสีแดงดูเด่นเป็นสง่า ฝั่งตรงข้ามของถนน เยื้องกับพระบรมราชานุสาวรีย์ฯ จะเป็นอุทยานฯ ประวัติศาสตร์ทหารเรือ ซึ่งภายในประกอบด้วยอาคารนิทรรศการ จัดแสดงภาพความเสียหายจากการรบ และภาพสู่การพัฒนากองทัพเรือ
นอกจากนั้น ยังมีการจัดแสดงพิพิธภัณฑ์อาวุธยุทโธปกรณ์กลางแจ้ง ซึ่งแสดงถึงวิวัฒนาการของกองทัพเรือ ในการป้องกันประเทศ ตลอดจนบทบาทในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล
นอกจากนี้ยังมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติเชิงอนุรักษ์ นักท่องเที่ยวจะได้สูดอากาศบริสุทธิ์ในป่าชายเลน พร้อมเพลิดเพลินกับการชมสัตว์ต่าง ๆ อาทิ นกกระยาง, นกนางนวล, ปลาตีน และปูลม รวมถึงสัตว์ทะเลนานาชนิดอีกด้วย
เวลาเปิดปิด : เปิดทุกวัน เวลา 08.30-16.30 น.
#—————————#
2.สวนสาธารณะและสวนพฤกษชาติ ศรีนครเขื่อนขันธ์
หากใครที่ต้องการเสพอากาศบริสุทธิ์ไปพร้อม ๆ กับธรรมชาติของเมืองสมุทรปราการ ต้องไม่พลาดที่ “สวนสาธารณะและสวนพฤกษชาติ ศรีนครเขื่อนขันธ์” บนพื้นที่กว่า 200 ไร่ ใน ต.บางกะเจ้า อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ
หากใครที่ต้องการเสพอากาศบริสุทธิ์ไปพร้อม ๆ กับธรรมชาติของเมืองสมุทรปราการ ต้องไม่พลาดที่ “สวนสาธารณะและสวนพฤกษชาติ ศรีนครเขื่อนขันธ์” บนพื้นที่กว่า 200 ไร่ ใน ต.บางกะเจ้า อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ
นอกจากจะเป็นแหล่งผลิตออกซิเจนชั้นดีแล้ว ที่นี่สวนสาธารณะที่พักผ่อนหย่อนใจและออกกำลังกาย เป็นแหล่งศึกษาระบบนิเวศน์ของพันธุ์พืชและพันธุ์สัตว์ในท้องถิ่นและพื้นที่ใกล้เคียง เปรียบเสมือนโอเอซิสแห่งหนึ่งของคนเมืองสำหรับหลบหนีความวุ่นวายในกรุงเทพฯ เลยก็ว่าได้
ภายในเน้นการออกแบบสวนผสมผสานของสวนสาธารณะที่มีการจัดสภาพภูมิทัศน์ให้สวยงาม ประกอบด้วยพันธุ์ไม้น้ำ พันธุ์ไม้ท้องถิ่นที่สามารถเจริญเติบโตได้ในน้ำกร่อยกับการรักษาสภาพสวนเกษตรดั้งเดิมซึ่งเป็นสวนผลไม้เก่าไว้
สวนสาธารณะและสวนพฤกษชาติแห่งนี้เป็นพื้นที่สีเขียวที่รัฐบาลกำหนดให้เป็น “ปอดของกรุงเทพฯ” โดยมีสะพานไม้ทอดยาวให้เดินชมพื้นที่อันสงบร่มรื่น รวมถึงหอชมวิวสูง 7 เมตร ที่สามารถชมทิวทัศน์ได้โดยรอบ มีจักรยานให้เช่าสำหรับขี่ชมรอบสวน
เวลาเปิดปิด : เปิดทุกวัน เวลา 06.00-20.00 น.
เวลาเปิดปิด : เปิดทุกวัน เวลา 06.00-20.00 น.
#—————————#
3.พระสมุทรเจดีย์
พระสมุทรเจดีย์ สัญลักษณ์คู่บ้านคู่เมืองของ จ.สมุทรปราการ สำหรับวัดพระสมุทรเจดีย์ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา โดดเด่นด้วย “พระเจดีย์กลางน้ำ” เนื่องจากที่ตั้งเดิมมีสภาพเป็นเกาะ มีน้ำล้อมรอบ (ซึ่งในเวลาต่อมา ชายตลิ่งฝั่งขวาของแม่น้ำตื้นเขินงอกออกมา เชื่อมติดกับเกาะอันเป็นที่ตั้งพระเจดีย์) รัชกาลที่ 2 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระเจดีย์นี้ขึ้นภายหลังการสร้างป้อมปราการต่าง ๆ แต่ยังไม่ทันแล้วเสร็จก็สิ้นรัชกาล ต่อมารัชกาลที่ 3 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างต่อจนสำเร็จเป็นพระเจดีย์สูง 20 เมตร และสุดท้ายรัชกาลที่ 4 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างองค์พระเจดีย์ที่ใหญ่และสูงขึ้นไปอีก ครอบพระเจดีย์องค์เดิมไว้ โดยมีความสูงถึง 38 เมตร ดังที่เห็นเด่นเป็นสง่าในปัจจุบัน
พระสมุทรเจดีย์ สัญลักษณ์คู่บ้านคู่เมืองของ จ.สมุทรปราการ สำหรับวัดพระสมุทรเจดีย์ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา โดดเด่นด้วย “พระเจดีย์กลางน้ำ” เนื่องจากที่ตั้งเดิมมีสภาพเป็นเกาะ มีน้ำล้อมรอบ (ซึ่งในเวลาต่อมา ชายตลิ่งฝั่งขวาของแม่น้ำตื้นเขินงอกออกมา เชื่อมติดกับเกาะอันเป็นที่ตั้งพระเจดีย์) รัชกาลที่ 2 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระเจดีย์นี้ขึ้นภายหลังการสร้างป้อมปราการต่าง ๆ แต่ยังไม่ทันแล้วเสร็จก็สิ้นรัชกาล ต่อมารัชกาลที่ 3 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างต่อจนสำเร็จเป็นพระเจดีย์สูง 20 เมตร และสุดท้ายรัชกาลที่ 4 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างองค์พระเจดีย์ที่ใหญ่และสูงขึ้นไปอีก ครอบพระเจดีย์องค์เดิมไว้ โดยมีความสูงถึง 38 เมตร ดังที่เห็นเด่นเป็นสง่าในปัจจุบัน
ภายในเขตวัดยังมีสิ่งที่น่าเที่ยวชม เช่น พระวิหารหลวง ภายในเป็นที่ประดิษฐานของพระประธานปางห้ามสมุทร ที่เชื่อกันว่าจะช่วยห้ามสิ่งเลวร้ายทั้งหลายที่เกิดขึ้นจากทะเลได้ เก๋งจีน เป็นศาลารายเดิมที่สร้างขึ้นตามสถาปัตยกรรมแบบจีน ปัจจุบันใช้เป็นศาลาที่พัก ตึกฝรั่ง หรือ ศาลาทรงยุโรป เป็นศาลาโถง 5 ห้อง ภายในมีภาพจิตรกรรมฝาผนังเกี่ยวกับการสร้างเมืองสมุทรปราการและการสร้างพระสมุทรเจดีย์ และที่ด้านในสุดประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 2 ให้ประชาชนได้ไปกราบสักการะด้วย ฯลฯ
นอกจากนี้ หากท่านเดินทางมาในวันแรม 5 ค่ำ เดือน 11 ของทุกปี ท่านจะได้พบกับงานประจำปีที่สำคัญงานหนึ่งของจังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งก็คือ งานนมัสการพระสมุทรเจดีย์ โดยในวันดังกล่าว คณะกรรมการจัดงานจะอัญเชิญผ้าแดงผืนใหญ่ตั้งบนบุษบก แห่ไปรอบ ๆ ตัวเมือง จากนั้นอัญเชิญผ้าแดงลงเรือ แห่ไปตามลำน้ำเจ้าพระยาจนถึงอำเภอพระประแดง เพื่อให้ชาวพระประแดงร่วมอนุโมทนา จากนั้นจึงแห่กลับมาทำพิธีทักษิณาวรรตรอบองค์พระสมุทรเจดีย์ก่อนนำผ้าขึ้นห่มองค์พระสมุทรเจดีย์
ที่ตั้ง: ถนนสุขสวัสดิ์ ต.ปากคลองปลากด อ.พระสมุทรเจดีย์
เวลาเปิดปิด : เปิดทุกวัน เวลา 07.00-16.00 น.
#—————————#
4.สถานตากอากาศบางปู
อีกหนึ่งแลนด์มาร์กสำคัญที่นักท่องเที่ยวมักจะเดินทางไปเสมอก็คือ “สถานตากอากาศบางปู” เป็นสถานที่ท่องเที่ยวในแบบพักผ่อนตากอากาศทางชายทะเลด้านอ่าวไทยที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของประเทศไทย และเป็นแหล่งชมนกนางนวลบินล่องลอยท่ามกลางวิวสวย ๆ ของป่าชายเลนและผืนน้ำทะเล
อีกหนึ่งแลนด์มาร์กสำคัญที่นักท่องเที่ยวมักจะเดินทางไปเสมอก็คือ “สถานตากอากาศบางปู” เป็นสถานที่ท่องเที่ยวในแบบพักผ่อนตากอากาศทางชายทะเลด้านอ่าวไทยที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของประเทศไทย และเป็นแหล่งชมนกนางนวลบินล่องลอยท่ามกลางวิวสวย ๆ ของป่าชายเลนและผืนน้ำทะเล
สำหรับ “สถานตากอากาศบางปู” สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2480 ตามดำริของจอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ต่อมามีการสร้างสะพานชื่อ “สะพานสุขตา” ขึ้นมา โดยสะพานนี้ถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญของบางปู อีกทั้งในเวลาต่อมายังมีการสร้างอาคารขึ้นมาบริเวณปลายสะพาน ในชื่อ “ศาลาสุขใจ” ภายในบริเวณพื้นที่ 639 ไร่ของสถานตากอากาศบางปู เต็มไปด้วยธรรมชาติอันสมบูรณ์ อาทิ เส้นทางเดินชมป่า ชมนก โดยมีจำนวนนกกว่า 200 ชนิดอาศัยอยู่ให้นักท่องเที่ยวได้ชมตลอดทั้งปีโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับนกนางนวลจำนวนเป็นพันเป็นหมื่นตัวที่อพยพหนีหนาวจากไซบีเรียมาในช่วงต้นฤดูหนาว ประมาณกลางเดือน ต.ค.-พ.ย. ของทุกปี
ตรงเข้าไปสุดถนนจะเป็นสะพานสุขตา ที่ทอดตัวเหยียดยาวออกไปในทะเลประมาณ 500 เมตร ทำให้เป็นจุดที่เหมาะแก่การดูนกและชมพระอาทิตย์ตกเป็นอย่างยิ่ง ส่วนบริเวณปลายสะพานจะเป็นศาลาสุขใจ ภายในจะมีร้านอาหาร ที่ที่นักท่องเที่ยวจะได้ลิ้มลองอาหารทะเลสด ๆ อย่างปูนึ่ง ปลากะพงทอดน้ำปลา เป็นต้น นอกจากนั้นยังมีลานลีลาศ สำหรับกิจกรรมเต้นลีลาศของกลุ่มผู้สูงอายุในทุกวันเสาร์ ตั้งแต่เวลา 16.00 น. อีกด้วย
ที่ตั้ง: ต.บางปูใหม่ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ
เวลาเปิดปิด : เปิดทุกวัน เวลา 08.00-18.00 น.
#—————————#
5.เมืองโบราณ
เมืองโบราณ แหล่งท่องเที่ยวริมถนนสุขุมวิท (สายเก่า) บนพื้นที่กว่า 800 ไร่ ถือเป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่ได้รวบรวมสถานที่สำคัญ ๆ ทั่วประเทศมาไว้ ริมถนนสุขุมวิท (สายเก่า) เช่น ปราสาท ราชวัง วัดวาอาราม งานประติมากรรมต่างๆ ทั้งจำลองตามแบบสถานที่จริง และบางอย่างก็เป็นการผาติกรรม คือการยกเอาสิ่งก่อสร้างมาจากสถานที่จริงเลยทีเดียว ภายในเมืองโบราณจะจัดแบ่งพื้นที่ตามภูมิภาคให้ได้ชื่นชมความสวยงามและซาบซึ้งกับรากเหง้าของศิลปวัฒนธรรมอย่างน่าประทับใจ เสมือนได้ไปเที่ยวทั่วประเทศภายในวันเดียว
เมืองโบราณ แหล่งท่องเที่ยวริมถนนสุขุมวิท (สายเก่า) บนพื้นที่กว่า 800 ไร่ ถือเป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่ได้รวบรวมสถานที่สำคัญ ๆ ทั่วประเทศมาไว้ ริมถนนสุขุมวิท (สายเก่า) เช่น ปราสาท ราชวัง วัดวาอาราม งานประติมากรรมต่างๆ ทั้งจำลองตามแบบสถานที่จริง และบางอย่างก็เป็นการผาติกรรม คือการยกเอาสิ่งก่อสร้างมาจากสถานที่จริงเลยทีเดียว ภายในเมืองโบราณจะจัดแบ่งพื้นที่ตามภูมิภาคให้ได้ชื่นชมความสวยงามและซาบซึ้งกับรากเหง้าของศิลปวัฒนธรรมอย่างน่าประทับใจ เสมือนได้ไปเที่ยวทั่วประเทศภายในวันเดียว
เมืองโบราณก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ.2506 โดยนายเล็ก วิริยะพันธุ์ นักธุรกิจเจ้าของบริษัท”วิริยะประกันภัย” เริ่มเปิดให้บริการมาตั้งแต่วันที่ 11 กุมภาพันธุ์ พ.ศ. 2515 และได้พัฒนาไปสู่การเป็นแหล่งท่องเที่ยวแบบยั่งยืนในปัจจุบัน โดยสามารถเลือกวิธีการเที่ยวชมได้ทั้ง จักรยาน รถราง ซึ่งสามารถขึ้น-ลงได้ทุกขบวน และล่าสุด มีบริการเที่ยวชมทางเรือได้อีกหนึ่งวิธี ท่านจะเพลิดเพลินเสมือนได้เที่ยวทั่วไทยภายในที่เดียวโดยใช้เวลาวันเดียวและเหมาะกับคนทุกวัย
ค่าเข้าชม : ชาวไทย ผู้ใหญ่ 350 บาท เด็ก 175 บาท ชาวต่างชาติ ผู้ใหญ่ 500 บาท เด็ก 250 บาท (ราคานี้รวมจักรยาน, รถราง และนั่งเรือ เรียบร้อยแล้ว)
ค่าเข้าชม : ชาวไทย ผู้ใหญ่ 350 บาท เด็ก 175 บาท ชาวต่างชาติ ผู้ใหญ่ 500 บาท เด็ก 250 บาท (ราคานี้รวมจักรยาน, รถราง และนั่งเรือ เรียบร้อยแล้ว)
เวลาเปิดปิด : เปิดทุกวัน เวลา 08.00-17.00 น.
โทรศัพท์ : 02 709 1644-8
เว็บไซต์ : http://ancientcitygroup.net/ancientsiam/
#—————————#
6.พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ
พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณสร้างขึ้นจากแรงบันดาลใจของคุณเล็ก วิริยะพันธุ์ ผู้จัดสร้างเมืองโบราณ จ.สมุทรปราการ และปราสาทสัจธรรม เมืองพัทยา จ.ชลบุรี เพื่อใช้เป็นสถานที่เก็บรักษาศิลปวัตถุ มรดกทางวัฒนธรรมด้านต่างๆ และเพื่อสืบสานอนุรักษ์งานศิลป์ไทยให้คงอยู่สืบชั่วลูกชั่วหลาน
พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณสร้างขึ้นจากแรงบันดาลใจของคุณเล็ก วิริยะพันธุ์ ผู้จัดสร้างเมืองโบราณ จ.สมุทรปราการ และปราสาทสัจธรรม เมืองพัทยา จ.ชลบุรี เพื่อใช้เป็นสถานที่เก็บรักษาศิลปวัตถุ มรดกทางวัฒนธรรมด้านต่างๆ และเพื่อสืบสานอนุรักษ์งานศิลป์ไทยให้คงอยู่สืบชั่วลูกชั่วหลาน
และอีกหนึ่งสิ่งที่โดดเด่นและเป็นสัญลักษณ์ของที่นี่ก็คือ ประติมากรรมช้างสามเศียรหรือช้างเอราวัณที่ตั้งอยู่บนอาคารทรงกลมสามารถมองเห็นได้จากระยะไกล โดยช้างเอราวัณนี้ถือเป็นประติมากรรมลอยตัวด้วยวิธีเคาะมือแห่งแรกและใหญ่ที่สุดในโลก ทำจากโลหะทองแดงนับแสนชิ้น มีขนาดใหญ่โตมโหฬารจนต้องตะลึง โดยส่วนหัวมีน้ำหนักถึง 100 ตัน และลำตัวมีน้ำหนักถึง 150 ตัน ตัวช้างรวมอาคารมีความสูงทั้งสิ้น 43.60 เมตร หรือสูงเท่ากับตึก 14 ชั้นเลยทีเดียว
เมื่อเดินเข้าไปชมยังภายในอาคารพิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ มีการแบ่งพื้นที่การจัดแสดงเป็น 3 ส่วนคือ ชั้นล่างสุด มีชื่อว่า ชั้นสุวรรณภูมิ เป็นส่วนของการจัดแสดงความเป็นมาของพิพิธภัณฑ์ และจัดเก็บโบราณวัตถุจำนวนมาก ชั้นที่อยู่กึ่งกลาง มีชื่อว่า ชั้นโลก เป็นอาคารทรงโดม ประดุจเข้าพระสุเมรุ ภายในจัดแสดงโบราณวัตถุ และงานฝีมือช่างที่วิจิตรงดงาม เพดานเป็นกระจกสี มีรูปแผนที่โบราณ ดูสวยงามในสไตล์ตะวันตก
ชั้นบนสุด มีชื่อว่า ชั้นจักรวาล เป็นส่วนที่อยู่ภายในท้องช้าง ชั้นนี้เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ และพระพุทธรูปเก่าแก่ในยุคสมัยต่าง ๆ บนเพดานมีภาพเขียนสีฝุ่นที่บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับระบบสุริยจักรวาล แถมส่วนบริเวณด้านนอกอาคารพิพิธภัณฑ์ยังจัดเป็นอุทยานพรรณไม้ในวรรณคดี และมีประติมากรรมลอยตัวเรื่อง รามเกียรติ์ วางรายล้อมรอบอาคารอีกด้วย
ที่ตั้ง: ต.บางเมืองใหม่ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ
ค่าเข้าชม : ชาวไทย ผู้ใหญ่ 200 บาท เด็ก 100 บาท, ชาวต่างชาติ ผู้ใหญ่ 400 บาท เด็ก 200 บาท
ค่าเข้าชม : ชาวไทย ผู้ใหญ่ 200 บาท เด็ก 100 บาท, ชาวต่างชาติ ผู้ใหญ่ 400 บาท เด็ก 200 บาท
เวลาเปิดปิด : เปิดทุกวัน เวลา 08.00-17.00 น.
โทรศัพท์ : 02 371 3135-6
เว็บไซต์ : http://www.ancientcitygroup.net/erawan/th/home
#—————————#
7.วัดมงคลโคธาวาส (หลวงพ่อปาน)
“วัดมงคลโคธาวาส” หรือที่รู้จักกันในชื่อ “วัดหลวงพ่อปาน” เป็นวัดที่หลวงพ่อปาน เกจิอาจารย์ชื่อดังในสมัยรัชกาลที่ 5 เคยจำพรรษาอยู่และพัฒนาวัด จนกลายเป็นวัดสำคัญของอำเภอบางบ่อในปัจจุบัน
“วัดมงคลโคธาวาส” หรือที่รู้จักกันในชื่อ “วัดหลวงพ่อปาน” เป็นวัดที่หลวงพ่อปาน เกจิอาจารย์ชื่อดังในสมัยรัชกาลที่ 5 เคยจำพรรษาอยู่และพัฒนาวัด จนกลายเป็นวัดสำคัญของอำเภอบางบ่อในปัจจุบัน
วัดมงคลโคธาวาส สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2300 เดิมมีชื่อว่า “วัดบางเหี้ยนอก” เนื่องจากตั้งอยู่ที่ตำบลบางเหี้ย ต่อมาทางราชการได้เปลี่ยนชื่อตำบลบางเหี้ยเป็นตำบลคลองด่าน ชื่อวัดจึงต้องเปลี่ยนให้มีความไพเราะและเหมาะสมขึ้นเป็น
สำหรับไฮไลท์สิ่งที่น่าสนใจคือ “รูปหล่อของหลวงพ่อปาน” ซึ่งประดิษฐานอยู่ที่กุฏิของท่าน ซึ่งรูปหล่อนี้ทำขึ้นก่อนที่ท่านจะมรณภาพ โดยประชาชนที่มีความเคารพบูชาในตัวท่านได้พร้อมใจกันทำขึ้นเพื่อไว้เป็นที่บูชากราบไหว้แทนตัวท่าน และในวันขึ้น 5-7 ค่ำ เดือน 12 ของทุกปี จะมีการอัญเชิญรูปหล่อของหลวงพ่อปานไปจัดงานนมัสการและปิดทองหลวงพ่อปาน ณ ที่ว่าการอำเภอบางบ่อ ทั้งนี้ก็เพื่อความสะดวกในการเดินทางมาร่วมงานของประชาชนจากทุก ๆ ตำบลนั่นเอง
นอกจากนี้ บริเวณด้านหน้าของวัดซึ่งหันหน้าสู่คลองด่าน ยังเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการนั่งพักผ่อนหย่อนใจ อีกด้วย
ที่ตั้ง: ต.คลองด่าน อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ อยู่ใกล้กับตลาดคลองด่าน
เวลาเปิดปิด : เปิดทุกวัน เวลา 08.30-16.30 น.
โทรศัพท์ : 02 330 1247, 02 707 4414, 02 707 4424
#—————————#
8.วัดอโศการาม
วัดอโศการาม วัดที่สำคัญในสมุทรปราการและเป็นสถานที่สำหรับวิปัสสนากรรมฐาน สร้างขึ้นเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2505 ที่มาของชื่อวัดนั้นมาจากคำว่า “อโศการาม” แปลว่า แหล่งรื่นรมย์ที่ไร้ความเศร้าหมอง ภายในบริเวณวัดเต็มไปด้วยความร่มรื่นของพรรณไม้นานาชนิดไม่ว่าจะเป็นป่าโกงกาง ไม้ลำพู หรือปลงทอง
วัดอโศการาม วัดที่สำคัญในสมุทรปราการและเป็นสถานที่สำหรับวิปัสสนากรรมฐาน สร้างขึ้นเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2505 ที่มาของชื่อวัดนั้นมาจากคำว่า “อโศการาม” แปลว่า แหล่งรื่นรมย์ที่ไร้ความเศร้าหมอง ภายในบริเวณวัดเต็มไปด้วยความร่มรื่นของพรรณไม้นานาชนิดไม่ว่าจะเป็นป่าโกงกาง ไม้ลำพู หรือปลงทอง
ส่วนจุดไฮไลท์สำคัญที่ห้ามพลาดภายในวัดคือ “พระธุตังคเจดีย์” ซึ่งมีลักษณะเป็นพระเจดีย์หมู่รวม 13 องค์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่ง “ธุดงควัตร 13 ข้อ” ทุกองค์มีพระบรมสารีริกธาตุบรรจุไว้ในผอบทอง เงิน นาก, “วิหารวิสุทธิธรรมรังสี” เป็นอาคารจตุรมุข 3 ชั้น ส่วนยอดเป็นมณฑปปิดทองคำบริสุทธิ์ ซึ่งมีพระบรมสารีริกธาตุบรรจุอยู่บนยอดมณฑป
ภายในวิหารเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธชินราชจำลอง รูปหล่อหลวงพ่อปู่มั่น ภูริทตฺโต และสริระของท่านพ่อลี ธมฺมธโร เจ้าอาวาสองค์แรกแห่งวัดอโศการาม และ “พระอุโบสถ” ซึ่งภายในเป็นที่ประดิษฐานของหลวงพ่อศรีสมุทร ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางสมาธิหล่อด้วยทองเหลือง ปิดทองสวยงาม
นอกจากนี้ยังมีการสร้างอนุสาวรีย์พระเจ้าอโศกมหาราช สำหรับพุทธศาสนิกชนทั่วไปได้ถวายสักการะและรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ที่ทรงเผยแผ่พระพุทธศาสนามายังดินแดนสุวรรณภูมิอีกด้วย
ที่ตั้ง: เทศบาลบางปูซอย 60 ถนนสุขุมวิทสายเก่า ต.ท้ายบ้าน อ.เมือง จ.สมุทรปราการ อยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ 6 กิโลเมตร
เวลาเปิดปิด : เปิดทุกวัน เวลา 08.30-16.30 น.
เวลาเปิดปิด : เปิดทุกวัน เวลา 08.30-16.30 น.
ค่าเข้าชม : ฟรี
โทรศัพท์ : 0 2395 0003
เว็บไซต์: http://www.watasokaram.org/
#—————————#
9.ตลาดบางน้ำผึ้ง
ตลาดน้ำบางน้ำผึ้ง ตลาดน้ำบรรยากาศคลาสสิกใกล้กรุงเทพฯ เกิดขึ้นโดยความร่วมมือขององค์การบริหารส่วนตำบลบางน้ำผึ้งและชาวบ้านในชุมชน ได้รื้อฟื้นภาพชีวิตในวันคืนเก่าให้กลับคืนมาด้วยการสร้างตลาดน้ำขึ้น เพื่อใช้เป็นสถานที่ขายผลผลิตของชุมชนและตำบลใกล้เคียง และเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในชุมชน
ตลาดน้ำบางน้ำผึ้ง ตลาดน้ำบรรยากาศคลาสสิกใกล้กรุงเทพฯ เกิดขึ้นโดยความร่วมมือขององค์การบริหารส่วนตำบลบางน้ำผึ้งและชาวบ้านในชุมชน ได้รื้อฟื้นภาพชีวิตในวันคืนเก่าให้กลับคืนมาด้วยการสร้างตลาดน้ำขึ้น เพื่อใช้เป็นสถานที่ขายผลผลิตของชุมชนและตำบลใกล้เคียง และเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในชุมชน
ภายในตลาดน้ำเต็มไปด้วยเมนูของกินมากมายทั้งอาหารขึ้นชื่อประจำถิ่นที่หากินยากอย่าง ขนมครกหอยทอด , ปลาตะเพียนต้มเค็ม, แกงบอน, ทอดมันปลากราย รวมไปถึงต้นไม้นานาพันธุ์ ปลาสวยงามหลากชนิด และผักผลไม้สดจากสวนในราคาย่อมเยา เช่น มะพร้าวอ่อน มะม่วงน้ำดอกไม้ ผักพื้นบ้าน เป็นต้น
ส่วนกิจกรรมท่องเที่ยวที่น่าสนใจอื่น ๆ ก็มีให้เลือกหลากหลายทั้ง การเช่าเรือพายล่องไปตามคลอง เพื่อชมวิถีชีวิตชาวบ้านริมคลอง หรือการเช่าจักรยานถีบลัดเลาะในเขตพื้นที่สีเขียวรูปกระเพาะหมูย่านพระประแดง เพื่อชมวิถีชีวิตชาวสวนและชื่นชมธรรมชาติอันสวยงาม แถมยังมีสวนพฤกษาให้นักท่องเที่ยวเข้าไปพักผ่อนหย่อนใจ ชมไม้ดอกไม้ประดับคล้าวไปกับบรรยากาศการฟังเพลงเพราะได้อีกด้วย
ที่ตั้ง: ต.บางน้ำผึ้ง อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ
เวลาเปิดปิด : เปิดทุกวันเสาร์-วันอาทิตย์ เวลา 08.00-16.00 น.
เวลาเปิดปิด : เปิดทุกวันเสาร์-วันอาทิตย์ เวลา 08.00-16.00 น.
#—————————#
10.ตลาดโบราณบางพลีร้อยปี
พลาดไม่ได้อย่างยิ่งสำหรับการเดินเที่ยวชมบรรยากาศตลาดโบราณริมคลองสำโรง “ตลาดโบราณบางพลี” หรือเดิมชื่อตลาด “ศิริโสภณ” ใน ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ภายในโดดเด่นด้วยพื้นไม้ตลอดเส้นทางของตลาด ยาว 500 เมตร
พลาดไม่ได้อย่างยิ่งสำหรับการเดินเที่ยวชมบรรยากาศตลาดโบราณริมคลองสำโรง “ตลาดโบราณบางพลี” หรือเดิมชื่อตลาด “ศิริโสภณ” ใน ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ภายในโดดเด่นด้วยพื้นไม้ตลอดเส้นทางของตลาด ยาว 500 เมตร
สำหรับความเป็นมาของตลาดแห่งนี้สันนิษฐานว่าชาวจีนเข้ามาเปิดร้านในตลาดใน พ.ศ. 2400และเป็นตลาดริมคลองสำโรงเพียงแห่งเดียวที่รอดพ้นจากไฟไหม้ และยังคงสภาพเดิมอีกทั้งยังเป็นชุมชนขนาดใหญ่ที่มีความรุ่งเรืองมาตั้งแต่ในอดีต เพราะเป็นตลาดขนส่งสินค้าและผู้โดยสารจากภาคตะวันออกชายฝั่งทะเลสู่กรุงเทพมหานคร เนื่องจากการเดินทางในสมัยก่อนใช้เรือเป็นพาหนะเดินทาง โดยการเดินทางมาค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าจะอยู่ในคลองสำโรง จึงถือเป็นตลาดน้ำประวัติศาสตร์แห่งหนึ่ง ที่มีวิถีชีวิตเรียบง่าย มีวัฒนธรรมที่ดีงามสั่งสมอยู่มากมาย
ภายในตลาดตลอดแนวสองฝั่งทางเดินที่ขนานไปกับคลองสำโรงของ ตลาดโบราณบางพลี มีสินค้าให้เพื่อน ๆ ได้เดินเลือกกิน เลือกซื้อมากมาย ทั้งอาหารอร่อย ขนมหวาน ของใช้ ของตกแต่ง บ้านเรือน ของฝาก รวมถึงร้านเสริมสวย ร้านขายเสื้อผ้า ร้านขาย สัตว์เลี้ยง ฯลฯ แถมยังได้อิ่มตากับทิวทัศน์ของคลองสำโรงที่ประดับประดาไปด้วยเรือขายอาหาร ขนม ผลไม้ตามฤดูกาลของชาวบางพลีที่พายไปมารพร้อมกับชมวิวเรือที่ชาวบ้านยังใช้สัญจรไปมาในชีวิตประจำวัน
ที่ตั้ง: ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ
#—————————#
11.วัดบางพลีใหญ่ใน
สำหรับวัดในจังหวัดสมุทรปราการที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากคือ “วัดบางพลีใหญ่ใน” เพราะเป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญในการจัดใหญ่อย่าง งานประเพณีรับบัว ในวันขึ้น 11 ค่ำ ถึงวันที่ 14 ค่ำ เดือน 11 ของทุกปี ซึ่งเป็นประเพณีเก่าแก่สืบทอดกันมาอย่างยาวนานของชาว อ.บางพลี
สำหรับวัดในจังหวัดสมุทรปราการที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากคือ “วัดบางพลีใหญ่ใน” เพราะเป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญในการจัดใหญ่อย่าง งานประเพณีรับบัว ในวันขึ้น 11 ค่ำ ถึงวันที่ 14 ค่ำ เดือน 11 ของทุกปี ซึ่งเป็นประเพณีเก่าแก่สืบทอดกันมาอย่างยาวนานของชาว อ.บางพลี
สำหรับวัดบางพลีใหญ่ใน เป็นวัดโบราณมาตั้งแต่สมัยก่อนกรุงรัตนโกสินทร์ เดิมชื่อว่าวัดพลับพลาชัยชนะสงคราม สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ในชัยชนะของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชต่อพม่า
ภายในพระอุโบสถของวัดแห่งนี้ เป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปองค์ใหญ่สมัยสุโขทัยปางมารวิชัยลืมเนตร เนื้อเป็นทองสัมฤทธิ์ เป็นพระประธาน และเป็นที่เลื่อมใสของประชาชนโดยทั่วไป นามว่า “หลวงพ่อโต” ดังนั้น วัดบางพลีใหญ่ใน จึงรู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่า “วัดหลวงพ่อโต” อนึ่ง ชาวบางพลีได้อัญเชิญหลวงพ่อโตจำลองลงเรือในพิธีโยนบัวหรือรับบัว ในวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 11 ของทุกปี
นอกจากที่ผู้มาเยือนจะได้สักการะหลวงพ่อโตแล้ว ยังมีรูปหล่อจำลองหลวงพ่อวัดดังมากมายให้สักการะ เช่น หลวงพ่อโสธร หลวงพ่อวัดบ้านแหลม หลวงพ่อโตวัดป่าเลไลย์ เป็นต้น
และสิ่งโดดเด่นภายวัดที่พลาดไม่ได้คือ การใช้บริการ “สุขาไฮเทค” ด้วยเทคโนโลยีมาช่วยอำนวยความสะดวกมากมาย เช่น ระบบกดน้ำอัตโนมัติ แถมบริเวณโดยรอบยังจัดมีการสภาพแวดล้อมภายในให้สวยงามด้วยการจัดสวนและน้ำตก ชวนให้ถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกอีกด้วย
ที่ตั้ง: ริมคลองสำโรง ตำบลบางพลีใหญ่ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ
เวลาเปิดปิด : เปิดทุกวัน เวลา 08.00-17.00 น.
เวลาเปิดปิด : เปิดทุกวัน เวลา 08.00-17.00 น.
โทรศัพท์ : 08 1925 2844
เว็บไซต์ : http://www.watbangpleeyainai.org/
#—————————#
12.วัดบางพลีใหญ่กลาง
วัดบางพลีใหญ่กลาง สร้างขึ้นในราวปี พ.ศ. 2367 เมื่อครั้งที่วัดนี้สร้างเสร็จได้รับการขนานนามว่า “วัดน้อยปทุมคงคา” ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อวัดว่า “วัดราษฎร์ศรัทธาธรรม” และครั้งสุดท้ายเปลี่ยนเป็น “วัดบางพลีใหญ่กลาง” แต่ชื่อที่ชวนบ้านรู้จักและคุ้นเคยเป็นอย่างดีคือชื่อ “วัดกลาง” หรือ “วัดพระนอน”
วัดบางพลีใหญ่กลาง สร้างขึ้นในราวปี พ.ศ. 2367 เมื่อครั้งที่วัดนี้สร้างเสร็จได้รับการขนานนามว่า “วัดน้อยปทุมคงคา” ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อวัดว่า “วัดราษฎร์ศรัทธาธรรม” และครั้งสุดท้ายเปลี่ยนเป็น “วัดบางพลีใหญ่กลาง” แต่ชื่อที่ชวนบ้านรู้จักและคุ้นเคยเป็นอย่างดีคือชื่อ “วัดกลาง” หรือ “วัดพระนอน”
อีกหนึ่งไฮไลท์ที่น่าสนใจภายในวัดแห่งนี้อยู่ที่พระพุทธรูปปางสีหไสยาสน์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย นามว่า พระศากยมุนีศรีสุเมธบพิตร (หรือ พระนอนบางพลี) ซึ่งประดิษฐานอยู่ในมหาวิหารพระนอนใหญ่ โดยมีความยาว 26 วา 1 ศอก 9 นิ้ว และความกว้าง 3 วา 1 ศอก ภายในองค์พระแบ่งเป็น 4 ชั้น ชั้นแรกเป็นห้องปฏิบัติธรรม ชั้นที่ 2 เป็นที่ประดิษฐานของพระอรหันต์ 500 รูป และมีภาพวาดห้องนรก-ห้องสวรรค์ ชั้นที่ 3 มีภาพวาดเกี่ยวกับพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์หลายองค์ และชั้นที่ 4 เป็นชั้นที่บรรจุพระสาริกธาตุซึ่งอัญเชิญมาจากประเทศศรีลังกา และยังมีห้องประดิษฐานหัวใจพระนอน ซึ่งจะเปิดให้บุคคลทั่วไปนำดอกไม้ธูปเทียนมาสักการะบูชาและปิดทองที่หัวใจพระนอนเพื่อความเป็นสิริมงคล
ด้านหลังของมหาวิหารพระนอนเป็นที่ตั้งของพระอุโบสถ โดยพระอุโบสถหลังนี้สร้างและตกแต่งด้วยลวดลายปูนปั้นสีทองทั้งหลังดูสวยงามตระการตา และมีบันไดนาคสำหรับขึ้นไปกราบไหว้หลวงพ่อสูรย์ หรือหลวงพ่อสุริยะ องค์พระประธานภายในพระอุโบสถ นอกจากนี้ทางวัดยังจัดให้มีกิจกรรม “ลอดโบสถ์” เพื่อความเป็นสิริมงคลอีกด้วย
ที่ตั้ง: บ้านคลองสำโรงฝั่งเหนือ หมู่ 8 ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ
เวลาเปิดปิด : เปิดทุกวัน เวลา 08.30-16.30 น.
เวลาเปิดปิด : เปิดทุกวัน เวลา 08.30-16.30 น.
โทรศัพท์ : 02 337 3455, 02 337 4020, 02 337 3458
#—————————#
13.วัดทรงธรรมวรวิหาร
วัดทรงธรรมวรวิหาร เป็นอีกหนึ่งวัดเก่าแก่ในพุทธศาสนานิกายรามัญที่สร้างขึ้นพร้อมกับเมืองนครเขื่อนขันธ์ในสมัยรัชกาลที่ 2 โดยสมเด็จพระอนุชาธิราช กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ปัจจุบันมีฐานะเป็นพระอารามหลวงชั้นโท
วัดทรงธรรมวรวิหาร เป็นอีกหนึ่งวัดเก่าแก่ในพุทธศาสนานิกายรามัญที่สร้างขึ้นพร้อมกับเมืองนครเขื่อนขันธ์ในสมัยรัชกาลที่ 2 โดยสมเด็จพระอนุชาธิราช กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ปัจจุบันมีฐานะเป็นพระอารามหลวงชั้นโท
ภายในวัดโดดเด่นด้วยความงดงามของสถาปัตยกรรมแบบมอญ โดยเฉพาะ “พระรามัญเจดีย์องค์ใหญ่” ซึ่งเป็นพระเจดีย์ 3 ชั้น แต่ละชั้นมีพระพุทธรูปปางต่าง ๆ ประดิษฐานเรียงรายอยู่รอบ ๆ เจดีย์, “พระอุโบสถของวัด” ที่มีสถาปัตยกรรมแบบก่ออิฐถือปูน เสาพระอุโบสถมีลักษณะกลมเป็นคู่ ๆ เพื่อรับปีกในส่วนที่เป็นชานของพระอุโบสถ มีเสาทั้งหมด 56 ต้น
ด้านในมีความสวยงามแปลกตา พระประธานเป็นพระพุทธรูปสมัยสุโขทัย ปางมารวิชัย ประดิษฐานในกรอบไม้แกะสลักแบบมอญ เพดานมีภาพเขียนแบบมอญประดับอยู่ 2 ภาพ ส่วนผนังด้านต่าง ๆ ประดับด้วยภาพเขียนเกี่ยวกับพุทธประวัติ นิทานชาดกเรื่องพระเวสสันดรภาคต่าง ๆ
และในส่วนของ “พระวิหาร” ก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวด้วยสถาปัตยกรรมแบบก่ออิฐถือปูนเช่นกัน มีช่อฟ้าใบระกาทำด้วยไม้สัก ภายในมีรอยพระพุทธบาทจำลองประดับมุกซึ่งประดิษฐานอยู่เบื้องหน้าองค์พระประธาน
ในขณะที่สิ่งที่โดดเด่นที่สุดเห็นจะเป็นซุ้มที่อยู่ด้านหลังองค์พระประธาน ซึ่งเป็นงานที่ทำจากโลหะ มีลวดลายประณีตสวยงาม
ที่ตั้ง: ถนนทรงธรรม ต.ตลาด อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ
เวลาเปิดปิด : เปิดทุกวัน เวลา 08.30-16.30 น.
เวลาเปิดปิด : เปิดทุกวัน เวลา 08.30-16.30 น.
โทรศัพท์ : 02 462 6155, 02 463 6269, 02 463 5433, 02 463 8998
#—————————#
14.วัดโปรดเกษเชษฐาราม
ตั้งอยู่ที่ถนนทรงธรรม ต.ทรงคะนอง อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ ชื่อเดิมชื่อวัดปากคลองเป็นวัดเก่าแก่คู่เมืองพระประแดง ซึ่งเป็นพระอารามหลวงชั้นตรีและยังเป็นวัดพุทธไทยเพียงวัดเดียวในย่านพระประแดง สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 2 โดยพระยาเพ็ชรพิไชย (เกตุ) ผู้เป็นนายงานสร้างเมืองนครเขื่อนขันธ์
ตั้งอยู่ที่ถนนทรงธรรม ต.ทรงคะนอง อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ ชื่อเดิมชื่อวัดปากคลองเป็นวัดเก่าแก่คู่เมืองพระประแดง ซึ่งเป็นพระอารามหลวงชั้นตรีและยังเป็นวัดพุทธไทยเพียงวัดเดียวในย่านพระประแดง สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 2 โดยพระยาเพ็ชรพิไชย (เกตุ) ผู้เป็นนายงานสร้างเมืองนครเขื่อนขันธ์
ปัจจุบัน วัดโปรดเกษเชษฐาราม ถูกใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางพุทธศาสนา และสถานที่ศึกษาหาความรู้ของชาวบ้าน โรงเรียน โรงพยาบาล ศาลสถิตยุติธรรม และอื่นๆ โดยพระสงฆ์มีหน้าที่ช่วยเหลือชาวบ้านในเรื่องต่าง ๆ อาทิ เป็นหมอรักษาโรคทางกาย คือเป็นหมอยาแผนโบราณ เป็นหมอรักษาโรคทางใจ คือเป็นผู้สอนธรรมะ นอกจากนี้ยังเป็นหมอดู รักษาศรัทธาและความสบายใจแก่ชาวบ้าน เช่น เป็นผู้ให้ฤกษ์ยาม เป็นผู้พิพากษาคดีเล็กๆ น้อยๆ อีกด้วย
ส่วนสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นภายในวัดคือ พระอุโบสถไม่มีช่อฟ้าใบระกา หน้าบันมีศิลปะปูนปั้นลายเครือเถาประดับเครื่องลายคราม ภายในเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธชินนาถศาสดา องค์พระประธานปางมารวิชัย
ส่วนพระวิหารก็มีลักษณะเช่นเดียวกับพระอุโบสถ ภายในเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธไสยาสน์ซึ่งมีพระพักตร์อันงดงาม เหนือหน้าต่างมีภาพปริศนาธรรมในศิลปะแบบตะวันตกที่แปลกตาหาดูได้ยาก
นอกจากนี้ ยังมีพระมณฑปสถาปัตยกรรมไทยรูปเจดีย์ย่อเหลี่ยมไม้สิบสอง ตั้งอยู่กลางสระน้ำ ที่ประดิษฐานพระประธานปางมารวิชัยขัดสมาธิเพชร และยังมีพระพุทธบาทจำลองที่ประดับด้วยมุก เป็นรูปพรหมและรูปต่าง ๆ ที่สวยงามมาก ๆ อีกด้วย
ที่ตั้ง: ต.ทรงคะนอง อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ
เวลาเปิดปิด : เปิดทุกวัน เวลา 08.30-16.30 น.
เวลาเปิดปิด : เปิดทุกวัน เวลา 08.30-16.30 น.
ค่าเข้าชม: ฟรี
โทรศัพท์ : 08 9540 9062
เว็บไซต์ : https://www.facebook.com/watprodket/
#—————————#
15.หมู่บ้านสาขลา และวัดสาขลา
วัดสาขลาตั้งอยู่ภายในหมู่บ้านสาขลา ถือเป็นอีกหนึ่งวัดดังที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน เป็นวัดสังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย สร้างเมื่อประมาณ พ.ศ. 2325 สันนิฐานว่าชาวบ้านช่วยกันสร้างเมื่อคราวรบชนะพม่า แต่เดิมหมู่บ้านที่ตั้งวัดเรียกว่าหมู่บ้านสาวกล้า
วัดสาขลาตั้งอยู่ภายในหมู่บ้านสาขลา ถือเป็นอีกหนึ่งวัดดังที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน เป็นวัดสังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย สร้างเมื่อประมาณ พ.ศ. 2325 สันนิฐานว่าชาวบ้านช่วยกันสร้างเมื่อคราวรบชนะพม่า แต่เดิมหมู่บ้านที่ตั้งวัดเรียกว่าหมู่บ้านสาวกล้า
ต่อมาคำพูดเพี้ยนเป็นสาขลา ทำให้นามวัดเปลี่ยนมาเป็นวัดสาขลาถึงปัจจุบัน ต่อมาวัดสาขลาก็ได้รับพระราชทานนามว่า วิสุงคามสีมา เมื่อพ.ศ. 2375 มีพระประธานในวิหารนามว่า “หลวงพ่อโต” สร้างคู่กับวัดแต่สร้างเมื่อใด ใครเป็นคู่สร้างไม่ปรากฏ เป็นพระพุทธรูปศิลปะสมัยอู่ทอง ปางมารวิชัย เป็นที่เคารพบูชาของชาวบ้านสาขลาและประชาชนทั่วไป
และด้วยความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อโต คือวันที่ 6 มกราคม 2526 ได้เกิดเหตุเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ในหมู่บ้าน ชาวบ้านต่างช่วยกันดับไฟแต่ก็เป็นที่ยากลำบาก ซึ่งในขณะนั้นชาวบ้านที่ออกไปหาปู ปลา ไม่ไกลจากหมู่บ้านได้เห็นองค์หลวงพ่อโตยืนเอาจีวรโบกไฟที่กำลังไหม้จนค่อย ๆ ดับลงพร้อมกับได้ยินเสียงสวดมนต์อย่างต่อเนื่องจนรุ่งเช้า ชาวบ้านทราบข่าวว่ามีคนเห็นองค์หลวงพ่อโตช่วยดับไฟ ทุกคนจึงแห่ไปที่วัดชาวบ้านทุกคนถึงกับน้ำตาไหล
เมื่อเห็นองค์หลวงพ่อโตดำเป็นเขม่าไปทั้งองค์ผ้าที่ห่มองค์หลวงพ่อกรอบเหมือนโดนไฟไหม้ ใบหน้าของท่านมี่ร่องรอยเหมือนน้ำตาไหล จากนั้นชาวบ้านจึงพร้อมใจกันทำบุญให้กับ หลวงพ่อโต ทุกวันที่ 6 มกราคมของทุกปี
นอกจากนักท่องเที่ยวจากเดินทางเข้ามานมัสการ หลวงพ่อโต แล้ว ภายในวัดยังมีพระราหู พระอุโบสถ พระวิหาร หลวงพ่อสองพี่น้อง ลอดใต้ท้องช้างสีดำ และเข้าชมพิพิธภัณฑ์เทพศรีสาขลาที่ประดิษฐานพระพุทธรูปและพระเกจิชื่อดังได้
ส่วนอีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญที่ไม่ควรพลาดคือ การเยี่ยมชมชุมชนบ้านสาขลา หมู่บ้านริมปากแม่น้ำเจ้าพระยาที่ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้นพร้อมร่วมกิจกรรมที่น่าสนใจจากชุมชนอีกด้วย
ที่ตั้ง: หมู่ 3 ต.นาเกลือ อ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ
เว็บไซต์ : https://www.facebook.com/WadSaKhlaNaKelux/
เว็บไซต์ : https://www.facebook.com/WadSaKhlaNaKelux/
#—————————#
16.พิพิธภัณฑ์ทหารเรือ
พิพิธภัณฑ์ทหารเรือ อยู่ตรงข้ามกับโรงเรียนนายเรือ เป็นแหล่งรวมวัตถุพิพิธภัณฑ์ และข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวกับกองทัพเรือไทย อาทิ อุปกรณ์ที่ใช้ในกิจการกองทัพเรือ อาวุธยุทโธปกรณ์ที่เคยใช้ในการรบ เรือรบจำลองของไทยตั้งแต่ต้นกรุงรัตนโกสินทร์จนถึงปัจจุบัน เรือดำน้ำรุ่นแรกและรุ่นเดียวของราชนาวีไทย และยุทธนาวีครั้งสำคัญๆ ทั้งนี้ในระหว่างการชมพิพิธภัณฑ์ นักท่องเที่ยวจะได้รับความรู้และความเพลิดเพลินไปพร้อม ๆ กัน
ภายในแบ่งเป็นการจัดแสดงออกเป็น อาคาร 1 และ อาคาร 2 ดังนี้
พิพิธภัณฑ์ทหารเรือ อยู่ตรงข้ามกับโรงเรียนนายเรือ เป็นแหล่งรวมวัตถุพิพิธภัณฑ์ และข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวกับกองทัพเรือไทย อาทิ อุปกรณ์ที่ใช้ในกิจการกองทัพเรือ อาวุธยุทโธปกรณ์ที่เคยใช้ในการรบ เรือรบจำลองของไทยตั้งแต่ต้นกรุงรัตนโกสินทร์จนถึงปัจจุบัน เรือดำน้ำรุ่นแรกและรุ่นเดียวของราชนาวีไทย และยุทธนาวีครั้งสำคัญๆ ทั้งนี้ในระหว่างการชมพิพิธภัณฑ์ นักท่องเที่ยวจะได้รับความรู้และความเพลิดเพลินไปพร้อม ๆ กัน
ภายในแบ่งเป็นการจัดแสดงออกเป็น อาคาร 1 และ อาคาร 2 ดังนี้
– การจัดแสดงกลางแจ้ง เป็นการจัดแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ขนาดใหญ่ บนพื้นที่กลางแจ้งบริเวณสนามหญ้าด้านหน้าอาคารและบริเวณโดยรอบ สิ่งที่นำจัดแสดง เช่น รถสะเทินน้ำสะเทินบก เรือดำน้ำ ฯลฯ
– อาคาร 1 ชั้นล่างจัดเป็นห้องเทิดพระเกียรติพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ องค์พระบิดาของทหารเรือไทย ชั้นบนมีตู้จัดแสดงเครื่องแบบต่าง ๆ ของทหารเรือไทย
– อาคาร 2 แบ่งเป็น 3 ชั้น ชั้นแรกจัดแสดงเรือโบราณ แท่นพิมพ์โบราณสำหรับพิมพ์แผนที่เดินเรือ ตลอดจนอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ เช่น ปืนเที่ยง ระเบิดตอร์ปิโด ฯลฯ ชั้นที่ 2 จัดแสดงเรือพระราชพิธีจำลองและการจัดกระบวนเรือพระราชพิธี เรือรบจำลอง ชิ้นส่วนของเรือ ตลอดจนอุปกรณ์เดินเรือและอุปกรณ์ใช้งานของชาวเรือ และชั้นที่ 3 จัดแสดงนิทรรศการพิเศษ หมุนเวียนตามช่วงเวลาและเหตุการณ์สำคัญ เช่น ยุทธนาวีที่เกาะช้าง สงครามเอเชียมหาบูรพา ยุทธการบ้านชำราก เป็นต้น
ที่ตั้ง: ถนนสุขุมวิท ตำบลปากน้ำ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ
เวลาเปิดปิด : เปิดทุกวัน (เว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์) เวลา 09.00-15.30 น.
เวลาเปิดปิด : เปิดทุกวัน (เว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์) เวลา 09.00-15.30 น.
ค่าเข้าชม: ฟรี
โทรศัพท์ : 0 2394 1997, 0 2475 3808
เว็บไซต์: http://www.navy.mi.th/navalmuseum/
#—————————#
17.สะพานภูมิพล
สะพานภูมิพล หรือ สะพานวงแหวนอุตสาหกรรม เป็นหนึ่งสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาสำหรับถนนวงแหวนอุตสาหกรรมที่เชื่อมระหว่างถนนพระรามที่ 3 ถนนสุขสวัสดิ์ ถนนปู่เจ้าสมิงพราย และถนนกาญจนาภิเษก ได้ชื่อว่าเป็นสะพานของพ่อ เพราะเกิดจากพระราชดำริ ในหลวง ร.9 เพื่อบรรเทาทุกข์ประชาชน ข้ามฟากระหว่างฝั่งพระประแดงกับฝั่งพระนคร
สะพานภูมิพล หรือ สะพานวงแหวนอุตสาหกรรม เป็นหนึ่งสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาสำหรับถนนวงแหวนอุตสาหกรรมที่เชื่อมระหว่างถนนพระรามที่ 3 ถนนสุขสวัสดิ์ ถนนปู่เจ้าสมิงพราย และถนนกาญจนาภิเษก ได้ชื่อว่าเป็นสะพานของพ่อ เพราะเกิดจากพระราชดำริ ในหลวง ร.9 เพื่อบรรเทาทุกข์ประชาชน ข้ามฟากระหว่างฝั่งพระประแดงกับฝั่งพระนคร
ลักษณะเด่นของสะพานแห่งนี้ คือ เป็นสะพานขึงขนาด 7 ช่องการจราจร ทางด้านเหนือหรือ “สะพานภูมิพล 1” เชื่อมระหว่างแขวงบางโพงพาง เขตยานนาวา กรุงเทพฯ กับต.บางยอ อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ ทางด้านใต้หรือ “สะพานภูมิพล 2” เชื่อมระหว่างตำบลทรงคนองกับตำบลบางหญ้าแพรก อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ มีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2549 แต่ก่อนหน้านั้นได้เปิดใช้ตั้งแต่วันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2549 และในวันพุธที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทางชลมารค โดยเรือพระที่นั่งอังสนาของกองทัพเรือ ทรงทำพิธีเปิดสะพานภูมิพลและประตูระบายน้ำคลองลัดโพธิ์ ณ กลางแม่น้ำเจ้าพระยา ในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ
และนอกจากสะพานจะมีความสำคัญในการอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนแล้ว ที่ยังถือเป็นแลนด์มาร์กท่องเที่ยวสำคัญสำหรับช่างภาพที่นิยมมาเก็บบรรยากาศความสวยงามของวิว ทิวทัศน์ของสะพานในยามค่ำคืนเสมอ
#—————————#
18.ฟาร์มจระเข้และสวนสัตว์สมุทรปราการ
ฟาร์มจระเข้และสวนสัตว์สมุทรปราการ ตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2493 ถือเป็นฟาร์มจระเข้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก อยู่ในเขต ต.ท้ายบ้าน ซึ่งห่างจากตัวเมืองประมาณ 3 กิโลเมตร
ฟาร์มจระเข้และสวนสัตว์สมุทรปราการ ตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2493 ถือเป็นฟาร์มจระเข้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก อยู่ในเขต ต.ท้ายบ้าน ซึ่งห่างจากตัวเมืองประมาณ 3 กิโลเมตร
ภายในเป็นสถานเพาะเลี้ยงจระเข้ขนาดต่างๆ กว่า 40,000 ตัว มีการแสดงวิธีจับจระเข้ด้วยมือเปล่า ทุกวันตั้งแต่เวลา 09.00-16.00 น. ทุก ๆ 1 ชั่วโมง พักเที่ยง วันหยุดเพิ่มรอบ 12.00 น. และ 17.00 น. เวลาการให้อาหารจระเข้ 16.30-17.30 น. นอกจากนี้ยังมีการแสดงของช้างแสนรู้ ซึ่งเป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวเป็นอันมาก โดยจะเปิดรอบการแสดงทุก 1 ชั่วโมง เริ่มตั้งแต่เวลา 09.30-16.30 น. ทุกวัน
นอกจากที่นี่จะมีการเลี้ยงจระเข้ซึ่งเป็นจุดเด่นภายในฟาร์มแล้ว ยังมีสัตว์แสนรู้อื่น ๆ อีก เช่น เสือ และลิงชิมแปนซี สัตว์ประเภทอื่น ๆ เช่น ชะนี เต่า งูเหลือม งูหลาม นก อูฐ ฮิปโป และปลาจำนวนมาก อีกทั้งยังสามารถเข้าชมพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ ซึ่งจัดแสดงกระดูกและหุ่นจำลองไดโนเสาร์ขนาดเท่าตัวจริงกว่า 13 ชนิด พร้อมการฉายสไลด์มัลติวิชั่น เรื่องของมนุษย์และสัตว์ดึกดำบรรพ์ด้วย
ค่าเข้าชม : ผู้ใหญ่ ราคา 50 บาท เด็ก 30 บาท ชาวต่างชาติ ราคา 300 บาท
ค่าเข้าชม : ผู้ใหญ่ ราคา 50 บาท เด็ก 30 บาท ชาวต่างชาติ ราคา 300 บาท
เวลาเปิดปิด : เปิดทุกวัน เวลา 07.00-18.00 น.
หมายเหตุ : การเข้าชมเป็นหมู่คณะหรือสถาบันการศึกษาที่ต้องการวิทยากร ควรมีหนังสือติดต่อล่วงหน้าไปที่ ฟาร์มจระเข้และสวนสัตว์สมุทรปราการ
วัดไพชยนต์พลเสพ
หมายเหตุ : การเข้าชมเป็นหมู่คณะหรือสถาบันการศึกษาที่ต้องการวิทยากร ควรมีหนังสือติดต่อล่วงหน้าไปที่ ฟาร์มจระเข้และสวนสัตว์สมุทรปราการ
วัดไพชยนต์พลเสพ
#—————————#
19.วัดไพชยนต์พลเสพย์ราชวรวิหาร หรือ วัดไพชยนต์ฯ
วัดสวยน่ามาเที่ยวแห่งนี้ เป็นพระอารามหลวงชั้นโท ตั้งอยู่ที่ ต.บางพึ่ง อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ สร้างขึ้นโดยกรมพระราชวังบวรมหาศักดิ์พลเสพย์ ในสมัยรัชกาลที่ 2 เมื่อครั้งสร้างเสร็จ เรียกกันว่า “วัดกรมศักดิ์” หรือ “วัดปากลัด” แล้วเปลี่ยนมาเรียก “วัดวังหน้า” ในสมัยรัชกาล 3 ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงพระราชทานนามใหม่ว่า “วัดไพชยนต์พลเสพย์”
ภายในวัดแห่งนี้มีสิ่งที่น่าสนใจคือ พระอุโบสถและพระวิหารที่มีความงดงามที่ได้รับอิทธิพลศิลปะแบบจีน ซึ่งมีลักษณะของการก่ออิฐถือปูน ไม่มีช่อฟ้าและใบระกา ใบเสมาสลักจากหินทรายสีเขียว มีบันไดอยู่ทางทิศตะวันตกสองแห่ง หัวบันไดประดับด้วยสิงโตหินแบบจีน บานหน้าต่างเป็นลายรดน้ำ ลงรักปิดทอง ทำเป็นรูปป่าหิมพานต์และสัตว์ต่าง ๆ ในพระอุโบสถมีพระประธานปูนปั้นปิดทองปางมารวิชัย ประดิษฐานอยู่บนบุษบกยอดปรางค์จัตุรมุข ซึ่งในอดีตเคยใช้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์ ณ พระที่นั่ง พุทไธสวรรย์
สำหรับพระวิหารก็ได้รับอิทธิพลศิลปะแบบจีนเช่นกัน ทางด้านหน้ามีพระโมคคัลลาน์ อัครสาวกเบื้องซ้ายของพระพุทธเจ้า และพระสารีบุตร อัครสาวกเบื้องขวา ในอิริยาบถประทับนั่ง ลวดลายปูนปั้นที่หน้าบัน กรอบบานประตู หน้าต่าง สวยงามน่าเยือนเป็นอย่างยิ่ง
เวลาเปิดปิด : เปิดทุกวัน เวลา 08.30-16.30 น.
เวลาเปิดปิด : เปิดทุกวัน เวลา 08.30-16.30 น.
#—————————#
20. วิสาหกิจชุมชนธูปหอมสมุนไพร บางกระเจ้า
วิสาหกิจชุมชนธูปหอมสมุนไพร บางกระเจ้า ตั้งอยู่เลขที่ 22 หมู่ 3 ต.บางน้ำผึ้ง อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ แหล่งผลิตธูปหอมที่จัดตั้งขึ้นโดยกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรบางน้ำผึ้ง เน้นการใช้วัตถุดิบจากท้องถิ่น อาทิ มะกรูด ตะไคร้หอม และสะเดา ซึ่งมีคุณสมบัติเด่นในกลิ่นหอมและสามารถไล่ยุงได้
วิสาหกิจชุมชนธูปหอมสมุนไพร บางกระเจ้า ตั้งอยู่เลขที่ 22 หมู่ 3 ต.บางน้ำผึ้ง อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ แหล่งผลิตธูปหอมที่จัดตั้งขึ้นโดยกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรบางน้ำผึ้ง เน้นการใช้วัตถุดิบจากท้องถิ่น อาทิ มะกรูด ตะไคร้หอม และสะเดา ซึ่งมีคุณสมบัติเด่นในกลิ่นหอมและสามารถไล่ยุงได้
สำหรับการเดินทางเข้าไปชมชุมชนธูปหอมสมุนไพร สามารถปั่นจักรยานลัดเลาะเลียบคลองเล็กๆเข้าไปได้ เพราะด้วยบรรยากาศภายในที่แสนร่มรื่น น่าพักผ่อน นอกจากนี้ยังสามารถซื้อเป็นของฝาก รวมทั้งเข้าร่วมกิจกรรมอบรม การทำธูปหอมไล่ยุง ทำผ้ามัดย้อมได้อีกด้วย

















ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น